วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เคาน์เตอร์กาแฟ : ต้นทุนกาแฟ


ต้นทุนกาแฟ



     ในการที่จะเปิดร้านกาแฟนั้น มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่เห็นว่าเพื่อนๆ หลายคนอาจจะลืมคิดไป หรือคิดไม่ถึง แต่วันนี้ผมอยากจะแนะนำในเรื่องของการคิดต้นทุนทั้งหมด เพื่อนๆ จะได้เอาไปคิดคำนวณคร่าวๆ ได้ว่า ควรจะตั้งเป้าอย่างไร ควรจะทำหรือจะถอยมาตั้งหลักเพื่อรอจังหวะและเวลา

     ในการคำนวณต้นทุนนั้น ก่อนอื่นเลยต้องตั้งระยะเวลาคืนทุนไว้ในใจก่อน ตัวอย่างเช่น ตั้งระยะเวลาคืนทุนไว้ที่ 1 ปี หรือ 12 เดือน

     จากนั้นคุณต้องดูเงินลงทุนทั้งหมดว่าใช้เงินลงทุนเท่าไร ซึ่งเงินลงทุนนี้จะรวมทุกสิงทุกอย่างในการที่จะเป็นร้านกาแฟขึ้นมา ผมขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ
         - ค่าเช่าร้าน สมมุติว่าเป็นร้านเปล่าๆ ไม่ได้ตกแต่งขนาด 16 ตารางเมตร มีค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท รวมค่าเช่าปีละ 120,000 บาท
         - ค่าตกแต่งร้าน ทาสี ทำเคาเตอร์ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ แอร์ ฯลฯ ลงทุนส่วนนี้ 120,000 บาท
         - ค่าอุปกรณ์เช่น เครื่องทำกาแฟ เครื่องบด ตู้เย็น ตู้แช่ เครื่องปั่น ฯลฯ ลงทุนส่วนนี้ 180,000 บาท
         - ค่าจ้างพนักงาน 2 คน เดือนละ 12,000 บาท รวมปีละ 144,000 บาท
         - ค่าน้ำ-ค่าไฟ เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท รวมปีละ 60,000 บาท

     จากนั้นเราเอาตัวเลขทั้งหมดมารวมกันคือ ค่าเช่า 120,000 + ค่าตกแต่ง 120,000 + ค่าอุปกรณ์ 180,000 + ค่าพนักงาน 144,000 + ค่าน้ำ-ค่าไฟ 60,000 = 624,000 บาท

     ดังนั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราตั้งระยะเวลาคืนทุนใน 1 ปีจะเท่ากับ 624,000 บาท เราก็นำมาหารด้วย 12 เดือน เพื่อที่จะนำไปบวกไว้ในต้นทุนของกาแฟครับ เมื่อหารแล้วจะได้เท่ากับ 52,000 บาท ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขต้นทุนต่อเดือนของเราต่อเดือนนะครับ

     ดังนั้นถ้าเราตั้งเป้าเอาไว้ว่า ควรมียอดขายขั้นต่ำวันละ 80 แก้ว โดยเฉลี่ย เดือนนึงก็ควรจะเป็น 80 แก้ว คูณด้วย 30 วัน เท่ากับ 2,400 แก้ว เราก็เอามาหารต้นทุน 52,000 บาท จะได้เท่ากับ 21.6 บาท ครับ นี้คือตัวเลขของต้นทุนแฝง ที่เราคิดการคืนทุนที่ 1 ปีครับ

     ที่นี้เรามาดูต้นทุนกาแฟ 1 แก้วกัน โดยผมจะคิดที่กาแฟเย็นเป็นหลักนะครับ เพราะ 70% ของยอดขายกาแฟจะเป็นกาแฟเย็นครับ
         - กาแฟ 1 โลจะชงได้ประมาณ 120 ช๊อท ถ้าเอามาทำกาแฟเย็นก็จะได้ 60 แก้ว สมมุติว่ากาแฟโลละ 400 บาท ดังนั้นกาแฟเย็น 1 แก้ว จะมีต้นทุนเท่ากับ 6.6 บาท
         - ค่านมข้นหวาน นมข้นจืด ครีมเทียม (สูตรใครสูตรมันนะครับ) ต้นทุนต่อแก้ว ประมาณให้ที่ 4 บาท
         - ค่าแก้ว + ฝา (ตามต้นทุนแต่ละคนนะครับ) ผมประมาณให้ชุดละ 5 บาท

     ฉะนั้น ต้นทุนกาแฟเย็น 1 แก้ว จะเท่ากับ 6.6+4+5 เท่ากับ 15.6 บาท

     และเมื่อรวมต้นทุนแฝง กับระยะเวลาคืนทุน 1 ปี กาแฟเย็น 1 แก้วจะมีต้นทุนอยู่ที่ 15.6+21.6 เท่ากับ 37.2 บาทครับ

     ถ้ามองแล้วจะเห็นว่าต้นทุนกาแฟของเราจะอยู่ที่ 37.2 บาทนะครับ ดังนั้นถ้าจะตั้งราคา เราควรจะตั้งราคาเท่าไรดี..... ตรงนี้ก็สุดแท้แต่เพื่อนๆ นะครับ

     สมมุติว่าผมตั้งราคาขายแก้วละ 45 บาท ผมก็จะได้กำไร 7.8 บาท

     ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่ายอดขายเฉลี่ยออกมาแล้วต้องขายวันละ 80 แก้ว ฉะนั้นผมจะมีกำไรวันละ 624 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 18,720 บาทครับ

 


*** บางวันอาจจะขายได้ต่ำกว่าเป้า หรือสูงกว่าเป้าก็เป็นได้ ***



     ในปีแรกที่ผมคิดคำนวณให้ดูนั้น ถือว่าเป็นปีแห่งการลงทุน ในปีนี้คุณจะได้กำไรสุทธิทั้งหมด 226,440 บาท



     เมื่อย่างเข้าสู่ปีที่ 2

     ในปีที่สอง ผมถือว่า ได้หักค่าเสื่อมของเครื่องทำกาแฟและการตกแต่งไปแล้ว ดังนั้น ค่าเครื่องทำกาแฟและค่าตกแต่ จะมีมูลค่าเป็นศูนย์ครับ

     ส่วนต้นทุนที่เหลือที่ยังต้องเอามาคำนวณต่อในปีที่ 2 คือ
         - ค่าน้ำค่าไฟ สำหรับค่าน้ำค่าไฟ ปีนี้ผมผมคิดเพิ่มไปอีก 10% เท่ากับ 66,000 บาท
         - ค่าพนักงาน และค่าพนักงานปีนี้เพิ่มเงินเดือนให้อีกคนละ 1,000 บาท เท่ากับ 14,000 บาท หรือปีละ 168,000 บาท
         - ค่าเช่า ปีที่ 2 ค่าเช่าขึ้นอีก 3,000 บาท เป็นเดือนละ 13,000 บาท หรือปีละ 156,000 บาท

     เอาตัวเลขทั้งหมดมารวมกัน เพื่อหาค่าต้นทุนแฝงสำหรับปีที่ 2 จะได้เท่ากับ 66,000+168,000+156,000 เท่ากับ 390,000 บาท หารด้วย 12 เดือน เท่ากับ 32,500 บาท

     ส่วนยอดขายเราก็ต้องเป้าเฉลี่ยเอาไว้วันละ 80 แก้วเหมือนเดิมครับ 1 เดือนก็ 2,400 แก้ว เอามาหารต้นทุนแฝงที่ 1 เดือน คือ 32,500 บาท ก็จะได้เท่ากับ 13.5 บาท

     จะเห็นว่าปีที่ 2 เราจะมีต้นทุนแฝงลดลงแล้วนะครับ คือแก้วละ 13.5 บาท เมื่อนำมารวมกับต้นทุนของกาแฟ 1 แก้ว 15.6 บาท ก็เท่ากับว่าปีที่สองกาแฟเราต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 13.5+15.6 เท่ากับ 29.1 บาท

     และถ้าเราขายราคาเดิมคือ 45 บาท เราก็จะมีกำไรแก้วละ 15.9 บาท หรือเดือนละ 38,160 บาท หรือเฉลี่ยปีละ 457,920 บาทครับ

     นั่นเป็นปีที่สองของเรานะครับ

     ดังนั้นการคิดคำนวณต้นทุน และต้นทุนแฝง จะเป็นการประเมินความเป็นไปได้ เพื่อที่เราจะได้ตั้งราคาได้เหมาะสม และเราจะได้มองเห็นจุดหมายปลายทางของเราว่าควรจะเดินหน้าต่อไปดีหรือเปล่า โดยเฉพาะคนที่ทำงานประจำ และมีรายได้ที่มั่นคงอยู่แล้วจะได้ตัดสินใจถูกครับ

     แต่ในการเปิดร้านกาแฟนั้น ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ หรือพบกับความล้มเหลวได้ นั้นคือเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งทำเลที่ตั้งนั้นถือว่าสำคัญมาก ยิ่งถ้าได้ทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนและหลากหลาย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลครับ

     ปัจจัยสำคัญอีกอย่างนึงคือเรื่องของคุณภาพ รสชาติที่ถูกปากคนในพื้นที่ ในทำเลที่เราเปิดร้านอยู่ ถ้าเราจับจุดนี้ได้ ก็จะทำให้เรามีลูกค้าประจำแวะเวียนมาอุดหนุนเสมอๆ

     และปัจจัยอีกอย่างนึงคือ ความหลากหลายของสินค้าที่นำมาประกอบ อาทิเช่น เบเกอรี่ ไอศรีม อาหารจานด่วน เครื่องดื่มต่างๆ เช่น ชา น้ำผลไม้ น้ำหวาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ควรจะมีเสริมไว้บ้าง เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าของร้านกาแฟเรา ทำให้มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น


     สำหรับแนวทางที่ให้ไปนั้น อย่างน้อยผมก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ ซึ่งไม่ค่อยมีใครเค้าจะบอกกันเท่าไรหรอกครับ ในมุมมองที่ผมเขียน ใจจริงก็ไม่อยากเขียนครับ ฮ่า.... เพราะว่ามีทั้งคนเสียผลประโยชน์ และได้ผลประโยชน์ แต่เมื่อมาวิเคราะห์ดูแล้ว คนที่เสียผลประโยชน์หลักๆ น่าจะเป็นพวกผู้ขายเสียมากกว่า คนได้ประโยชน์จริงๆ น่าจะเป็นเพื่อนๆ ที่เข้ามาเว็บนี้ และอยากจะมีร้านกาแฟกัน จะได้เอาไปคิด เอาไปวิเคราะห์กันครับ

 

จาก roytawan.com

เคาน์เตอร์กาแฟ 2558 คิดให้รอบครอบก่อนเปิดร้านกาแฟ



2558 คิดให้รอบครอบก่อนเปิดร้านกาแฟ



    ก่อนอื่นเลย.... ผมขอพูดถึงเพื่อนๆ น้องๆ ที่จะคิดเปิดร้านกาแฟก่อนนะครับ 
    อย่างแรกเลย การที่เราจะเปิดร้านกาแฟนั้น อยากให้เราถามตัวเองก่อน ว่าเรามีความพร้อมขนาดไหน และความความชื่นชอบในระดับไหน.... อย่าเอาแค่เปิดตามกระแสนิยม หรือเปิดเพราะดูว่ามันง่าย กำไรมาก แบบนั้นคิดผิดครับ การที่เราจะเปิดร้านกาแฟ หรือเราจะทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องมีความรู้และเข้าใจในเรื่องนั้น การบริหารจัดการ และต้องมีพื้นฐานความชอบเป็นทุนด้วย และการที่เราจะทำกิจการอะไรสักอย่าง ถ้าเราทำด้วยความรักในอาชีพ เราก็จะมีความพยายาม ความมุ่งมั่นขึ้นมาโดยอัติโนมัติครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราทำตามกระแส ทำตามเทรนด์ วันหนึ่ง ถ้าเราพบความยุ่งยากขึ้นมา เราจะเบื่อ จะท้อถอยครับ แล้วมันก็ไปไม่ถึงไหน

     หากจะเปิดร้านกาแฟ สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ การศึกษาหาความรู้ ในแง่มุมต่างๆ รวมถึงการเรียนด้วยครับ อย่าถามผมว่าต้องไปเรียนที่ไหน ที่โน่นดีไหม ที่นั่นดีไหม.... การเรียนไม่ว่าจะเรียนที่ไหนก็ตาม เราก็จะได้แง่มุม ได้ข้อคิด เทคนิคต่างๆ จากผู้สอนอยู่แล้วครับ สิ่งหนึงคือการค้นความหาข้อมูลครับ ถ้าจะถามว่าเรียนอย่างเดียวไม่ได้หรือ ผมตอบได้แค่ว่าตามใจครับ..... แต่ถ้าคุณได้ค้นความหาความรู้เพิ่มเติ่ม ทั้งจากในอินเตอร์เน็ต ในหนังสือต่างๆ ที่ สามารถอ้างอิงได้ คุณก็จะได้รู้ว่า สิ่งที่ผู้สอน สอนคุณนั้น ถูกหรือผิด..... หลายๆ ครั้ง ที่ผมแนะนำว่า ควรเรียนอย่างน้อยสัก 2 ที่ คุณจะได้มีมุมมองที่กว้างขึ้น.... บางคนอาจจะบอกว่าไม่อยากเสียเงินสองรอบ ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะการเรียนรู้คือการลงทุนอย่างหนึ่งครับ เรียนมาแล้วก็คงไม่มีใครมาขโมยความรู้จ้ากคุณไปได้หรอกครับ ยิ่งเรียนมาก เราก็จะได้รู้ในแง่มุมต่างๆ มากขึ้นครับ และถ้าเราถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องออกมา ก็จะเป็นการเพิ่มพูนความจำของเรามากขึ้นครับ ร้อยตะวันไม่เคยห่วงวิชาความรู้ครับ เพราะความรู้คือปัญญา และปัญญาคืออาวุธ.... ผมอยากให้เพื่อนๆ ทุกคนที่ตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟ ได้ติดอาวุธทางปัญญากันครับ ผมคงไม่ได้อะไร แต่ความสำเร็จคุณได้ไปแน่นอนครับ

   หลายคนถามว่า เปิดร้านกาแฟช่วงนี้ดีหรือไม่..... ผมบอกว่าตอบยากครับ เพราะขึ้นอยู่กับคุณเอง ว่าจะได้ทำเลดีแค่ไหน มีเงินทุนขนาดไหน จะดีหรือไม่ดี แผนธุรกิจร้านกาแฟนั้น เราอย่าไปมองที่เศษฐกิจอย่างเดียวครับ ต้องมองที่ความพร้อมของเราด้วยครับ..... บางคนทุนไม่มาก มาจะปรึกษาผมว่า มีงบอยู่ แสนนึง อยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆ พี่ว่าดีมั๊ย.... ผมบอกว่าเปิดหนะ เปิดได้ แต่จะคืนทุนตอนไหน ได้กำไรแค่ไหนเนี่ย... ตอบลำบากครับ อย่าลืมนะว่า ร้านเล็กๆ ใช้ทุนไม่มาก คนก็เปิดกันเยอะ.... ก็จะกลายว่ามีแต่คนเปิดร้านเล็กๆ ก็นเต็มไปหมด สุดท้ายก็จะทยอยหายกันไป เพราะสู้ไม่ไหว ทั้งค่าเช่า และเงินหมุนเวียน..... ไงปี 2558 ก็ต้องลากยาวอยู่แล้วครับ ลองดูอาชีพอื่นก่อนดีไหมครับ.... จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายอาชีพนะครับ ที่ให้กำไรดี และมีกลุ่มลูกค้า แม้ภาวะเศรษฐกิจจะซบเซา....






 
ร้านกาแฟน่านั่ง


   อย่างที่สอง ที่เพื่อนๆ ที่คิดจะเปิดร้านกาแฟต้องทำคือการซ้อมครับ.... ซ้อมเนี่ย... คือซ้อมชงกาแฟนะครับ ถ้าเราหาความรู้เรื่องกาแฟมาในระดับหนึ่งแล้ว เราต้องมองในเรื่องเครื่องทำกาแฟแล้วละครับ ซึ่งเรื่องเครื่องเนี่ย... ผมขอติดเอาไว้ก่อน จะเขียนรับใช้เพื่อนๆ ถึงการเลือกเครื่องในโอกาสต่อไปนะครับ.... เรื่องการซ้อมเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ผมเสียดายที่บางคนไม่ให้ความสำคัญในการซ้อมชงกาแฟครับ เราอย่าคิดแค่ว่า... ไปเรียนมาแล้ว ไงก็ชงเป็น.... ก็เป็นนั่นแหละครับ ผมไม่เถียงหรอก แต่ความชำนาญในการใช้เครื่องมือทำมาหากินของเราไม่มีนะครับ เพราะฉะนั้น เราต้องมีการซ้อมชง และจำลองสถานการณ์จริงด้วย.... เช่นลองชง 5 แก้ว 10 แก้ว ต่อเนื่องดู ว่าเราใช้เวลาเท่าไร ต้องใช้อะไรบ้างเพื่อให้มันคล่องตัว..... อย่าลืมนะครับว่าถ้าเราชงกาแฟแก้วละ 3 นาที 10 แก้วก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมงแล้ว... ลูกค้าคนที่ 10 คงไม่แฮปปี้แน่ๆ กับการที่รอกาแฟครึ่งชั่วโมง.... การซ้อมชงนั้นจะทำให้เรารู้ข้อบกพร่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไข ให้มันดีขึ้น เวลาเปิดร้านวันแรกจะได้ดูเป็นมืออาชีพครับ

   อันดับต่อมาที่เราต้องคิดคือ เรื่องสูตรกาแฟต่างๆ ผมไม่อยากให้แค่คิดว่า ไปเรียนเดียวเค้าก็บอกสูตรให้ทำตาม.... ผมไม่อยากให้คิดได้แค่นั้นจริงๆ นะครับ ถ้าเราเรียนมาแล้ว เราจะต้องจับหลักให้ได้ ต้องปรับสูตรเป็น ต้องคิดสูตรใหม่ขึ้นมาครับ ถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริง เรียนรู้เพื่อทำตามนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของเฟรนไชน์ไปครับ..... แต่ถ้าเราจะเป็นกาแฟอินดี้ เราต้องเหนือกว่า... เราต้องมีรอยหยักที่สมองมากกว่าเฟรนไชน์ครับ เพราะเราต้องคิดค้นเอง ปรับปรุงเอง เราต้องมีเมนูกาแฟ..... เราเรียนทำกาแฟ เราไม่จำเป็นต้องตามสูตรที่เราสอนมาเป๊ะหรอกครับ เราต้องรู้จักปรับ รู้จักประยุกต์ใช้ ไม่ใช้ว่าเค้าสอนมาให้ใช้นมยี่ห้อนี้ ก็ต้องยี่ห้อนี้ตาม.... ลองคิดนอกกรอบดูบ้างครับ บางทีอาจจะได้พบในสิ่งที่ดีกว่าก็ได้.... รวมทั้งเรื่อง Perfect Shot ก็เช่นกัน..... เราต้องถามตัวเองครับ ว่าจะชงเพื่อแข่งขั้น หรือว่าจะชงขายให้คนกิน..... เครื่องชงเครื่องบด แต่ละแบบ แต่ละรุ่นมันให้จุดที่เหมาะสมในการทำกาแฟให้อร่อยต่างกันครับ มันไม่ได้พอดีเท่ากันทั้งหมดหรอกครับ ไม่งั้นเค้าจะบอกว่าการชงกาแฟเป็นศาสตร์และศิลป์ทำไม่กัน.... ไปเป็นเฟรนไชส์ อเมซอน หรือไปใช้เครื่องออโต้เลยดีกว่าครับ... ในความเป็นกาแฟอินดี้... มันเป็นศิลปะอยู่ในตัวอยู่แล้วครับ... ถ้าเพื่อนมาบอกว่า เฮ้ย... ชงกาแฟ 1 ช๊อทต้อง 25 วิ..... บอกมันไปได้เลยว่า ผมเป็นอินดี้เว้ย.... 18 วิ ก็อร่อยแล้ว หรือ ถ้าจะบอกว่า 1 ช๊อท คือ 25 cc. ไม่ละ 1 ช๊อทของผม 30 cc. ใครจะทำไม่ ผมเป็นกาแฟอินดี้นี้หว่า.... เมนูกาแฟสดของผมไม่เป็นทาสใคร ตรูไม่ใช่เฟรนไชส์เว้ยยย.... ตรูทำงานศิลปะอยู่.... ฮ่าๆ.... เราอย่าไปอิงกับการชงแข่งขันมากครับ... เพราะทุกวันนี้มันปนกัน สุดท้ายเราหลงทางครับ ทำไงก็ได้ครับ ให้กาแฟมันออกมาอร่อย รสชาติดี ถูกปาก แค่นี้คนซื้อก็แฮปปี้แล้วครับ เพราะคนซื้อเค้าคงไม่ลิ้นเทวดาหรอกครับ ผมยังไม่เห็นคนซื้อบอกว่า โห.... วิธีชงชาเขียวร้านกาแฟน่านั่งของพี่ เทพมาก กินแล้วอาฟเตอร์เทสดี มีกลิ่นผลไม้เล็กๆ .... ที่ผ่านมายังไม่เจอครับ เจอแต่ว่าหอม อร่อย เข้มข้น.... คนซื้อเค้าพอใจแฮปปี้ พรุ่งนี้เค้ามาซื้อใหม่.... แน่นอนเราอยู่ได้ ขายได้... เพราะเราไม่ได้ชงแข่งขันบนเวที บนเวทีปล่อยเค้าไป เพราะกรรมการแต่ละคนเค้าลิ้นเทพทั้งนั้นครับ เราเอาแค่เกรียนๆ พอแล้ว ฮ่า....

   เรื่องต่อมาที่เราควรคำนึงถึงคือเรื่องรูปแบบร้านครับ ร้านกาแฟสวยๆ..... มีหลายร้านที่ผมเห็น... โห แต่ร้านอย่างเทพ หรูดูดี.... แต่ขอโทษที.... กาแฟกระป๋องอร่อยกว่าครับ.... อยากเข้าไปนั่งจิบกาแฟทุกวันครับ อยากรู้วิธีทำนมสด แต่มันให้รสชาติเครื่องดื่มเหมือนเอาปากกระแทกก๊อกน้ำสาธารณะเลย อย่างนี้คงไม่ไหวครับ เอาให้เหมาะสมสอดคล้องกันหน่อยก็จะดีมากครับ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เราเห็นร้านกาแฟดีๆ สวยๆ ก็อยากเข้า แน่นอนก็ต้องคาดหวังครับ ว่าจะได้กาแฟที่ดี เหมาะสมกับบรรยากาศและรูปแบบร้าน.... และที่สำคัญคือคอนเซปต้องชัดเจนครับ.... ไม่ใช้ว่าขายกาแฟเป็นหลัก แต่รสชาติไม่ได้เรื่อง ถ้าเราจะขายกาแฟเป็นหลัก เราต้องทำให้อร่อยครับ ส่วนอื่นๆ จะเป็นรองๆ ลงมาก็ไม่ว่ากันครับ.... ผมเห็นหลายๆ ร้านที่เป็นร้านเบเกอรี่ดีๆ ขายเบเกอรี่เป็นหลัก มีกาแฟเป็นรอง เพื่อมาเสริมในร้าน ที่อร่อยๆ ก็หลายร้านครับ ส่วนร้านเล็กๆ เราอย่าไปคิดว่าร้านเล็ก แล้วต้องคุณภาพเล็กตาม ต้องทำให้คุณภาพคับร้านครับ.... ผมขอยกตัวอย่างนิดนึงครับ อย่างร้านของพี่ต้อม รถโฟลค์ตู้ ที่หน้าคณะแพทย์ มช. เป็นรถตู้เล็กๆ แต่คุณภาพกาแฟคับแก้วจริงๆ แบบนี้แหละครับ เป็นตัวอย่างที่ดีในการทำกาแฟ อีกอย่างนึงที่เราต้องคำนึงถึงคือ การออกแบบเคาน์เตอร์กาแฟครับ.... หลายๆ คนมักจะทำร้านก่อน ออกแบบร้านกาแฟก่อน โดยที่ยังทำกาแฟไม่เป็น ไม่รู้ว่าอะไรต้องใช้แบบไหนบ้าง อะไรควรอยู่ตรงไหนบ้าง มีอุปกรณ์อะไรบ้าง.... สุดท้ายก็ใช้เคาเตอร์ได้ไม่เต็มที เวลาทำกาแฟก็ติดๆ ขัดๆ ไม่สะดวก พวกนี้มักจะคิดว่าชงกาแฟง่ายนิดเดียว... ทำร้านให้ใกล้เสร็จก่อน แล้วค่อยหาที่เรียน หาเครื่อง..... บางที่มันก็ไม่พอดีครับ เพราะว่าเครืองมันใหญ่ เคาเตอร์รับน้ำหนักไม่ไหวเป็นต้น เราจำเป็นต้องมีความรู้ก่อนครับ และที่สำคัญ เราต้องมีเครื่องทำกาแฟ เครื่องบด เราจะได้รู้ว่าควรจะออกแบบเค้าเตอร์อย่างไรให้เหมาะสม รวมทั้งระบบน้ำ ระบบไฟ ของเครื่องทำกาแฟด้วยครับ ผมเห็นหลายคนพลาดในเรื่องนี้อย่างแรงมาแล้ว.... เรื่องเคาเตอร์ไม่เหมาะสมเนี่ย.... ก็ฝากไว้เป็นข้อคิดครับ


บทสรุบสำหรับคนที่จะเปิดร้านกาแฟ
- ศึกษาหาข้อมูล และเรียนรู้เรื่องการทำกาแฟ วิธีชงชาเย็น
- ซ้อมทำกาแฟในสูตรต่างๆ ให้คล่อง และชำนาญการใช้เครื่อง
- หาดูทำเลที่เหมาะสม กับงบประมาณ และประเมินเรื่องยอดขาย กลุ่มเป้าหมาย
- ออกแบบร้านกาแฟ และเคาเตอร์ให้สอดคล้องกับความเหมาะสมของเครื่องที่ใช้ และความสะดวก
- หาซัพพลายเออร์เตรียมไว้ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมล็ดกาแฟ แก้วกระดาษ น้ำแข็ง วัสดุสิ้นเปลืองทั้งหลาย ฯลฯ
- คิดหาโปรโมชั่นที่เหมาะสม เตรียมไว้วันเปิดร้าน และต่อๆ ไป
- หมั่นชิมกาแฟ ร้านต่างๆ ให้หลากหลาย จะได้รู้ถึงรสาติกาแฟแบบต่างๆ เป็นการเปิดโลกทรรศน์ บางทีอาจจะได้เจ้า ของร้านเป็นเพื่อนด้วยครับ



 



    ในปี 2558 นี้... ขอให้คิดให้หนัก และถี่ถ้วน อย่าทำแบบฉาบฉวยนะครับ ธุรกิจนี้ยังไปได้อีกไกล เลือกงบลงทุนที่เหมาะสมกับเรา และอย่าลืมว่า... เราเปิดได้ คนอื่นเค้าก็เปิดได้ ทำร้านเล็กๆ ได้ แต่ต้องคุณภาพคับแก้ว และราคาเหมาะสมครับ ถึงจะไปรอด อย่าลืมว่า... เศรษฐกิจขาลง ร้านกาแฟเล็กๆ ต้นทุนถูก จะเกิดกันเยอะ.... สุดท้ายก็จะหายไปครับ เพราะลักษณะแบบนี้มันเคยเกิดมาแล้วช่วงหนึ่งครับ เรียกว่าเป็นยุคทองของเฟรนไชน์ถูกๆ และเป็นยุคมืดของคนซื้อเฟรนไชน์ถูกๆ เช่นกัน.... คนเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ยุคนั้น หายไปหมดแล้ว เหลืออยู่ก็แต่คนที่ปรับตัวได้ไหวตัวทันครับ ผมต้องเขียนมาเพื่อให้ฉุกคิดกันนะครับ..... ไม่อยากให้คนที่ตกงาน แล้วกำลังจะเดินเข้าสู่ธุรกิจกาแฟต้องเจอมรสุมรอบสองครับ


     สำหรับเพื่อนๆ ที่อยู่ในธุรกิจกาแฟอยู่แล้ว ผมขอแนะนำดังนี้ครับ
- ปรับตัวให้ทันครับ... โดยเฉพาะร้านขนาดเล็ก ที่ใช้เครื่องเล็กๆ ประเภทโฮมยูสทั้งหลาย..... แน่นอนว่าคุณต้องเจอคนขายกาแฟหน้าใหม่ๆ มาเป็นคู่แข่งแน่นอน.... ครับ คุณอาจจะเจอคู่แข่งในระดับเดียวกัน ก็ยังพอฟัดพอเหวี่ยงกันอยู่ครับ.... แต่ถ้าเจอคู่แข่งที่เค้าเหนือกว่า.... คุณจะทำอย่างไรครับ..... แน่นอนว่าการที่จะรักษาฐานลูกค้าเอาไว้มันยากครับ เพราะรสชาติจะเป็นตัวกำหนดเลย ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เค้าย่อมเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดครับ เพราะฉะนั้นคนขายกาแฟหน้าเก่าๆ แล้วใช้เครื่องโฮมยูสอย่าชะลาใจนะครับ เราต้องปรับตัว ปรับปรุง และหาจุดแข็ง จุดขายของเราให้ได้ ซึ่งผมประเมินดูว่า ปลายปีหน้า 2558 คงจะเหลือร้านที่มีคุณภาพคับแก้วเท่านั้นที่จะยืนอยู่ได้ครับ

- คิดโปรโมชั่นใหม่ๆ เสริมขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ลูกค้าจร กลายมาเป็นลุกค้าประจำ และโปรโมชั่นต้องกระชับ ในเรื่องระยะเวลาด้วย ลูกค้าจะได้ตื่นตัว รวมทั้งการออกโปรโมชั่นใหม่ๆ อย่างเสมอ ซึ่งเราต้องประเมินด้วยครับ เช่นช่วงเดือนนี้ดูแล้วแล้วยอดขายไม่มาก ก็ออกโปรโมชั่นที่ดีๆ ออกมาเพื่อกระตุ้น จนถึงช่วงที่เราประเมินว่าน่าจะขายดีแล้ว เราก็ออกโปรโมชั่นธรรมดาหน่อยเป็นต้น ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ช่วงหน้าฝน เราอาจจะใช้โปรโมชั่น 8 แถม 1 พอหมดฝนก็เป็น 10 แถม 1 เป็นต้น โปรโมชั่นต้องมีระยะเวลา ถึงจะเร้าใจนะครับ ไม่ใช้ 10 แถม 1 มันทั้งปีทั้งชาติ

- หาโปรดักซ์มาเพิ่มเติมในร้าน เป็นการเสริมให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า หรือเอามาเสริมเพื่อเป็นการแนะนำให้ลูกค้าได้รู้จัก เราอาจจะทำเป็นช่วงๆ ก็ได้ ซึ่งในร้านกาแฟนั้น.... สามารถเอาอะไรก็ได้มาวางขายรวมด้วย ถ้าเรามีพื้นที่มากพอ หรือจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้..... อาทิเช่น ขายต้นไม้เล็กๆ อย่างตะบองเพชร เราจะอาจจะติดราคาเอาไว้ แล้วเอาว่างไว้ที่โต๊ะกาแฟเป็นต้นครับ.... ลูกค้ามานั่งจิบกาแฟ เห็นแล้วอาจจะชอบ ซื้อติดกลับบ้านก็ได้ครับ เพราะว่าเราขายนินา..... ผมเองบางทีเห็นของน่ารักๆ ยังอยากได้เลย แต่เค้าไม่ขาย...555 เซ็งเลยนะ ซึ่งจุดเล็กๆ นี่แหละ ที่จะเป็นรายได้เสริมให้เราครับ ลองไปคิดกันเล่นๆ นะครับ... มีร้านกาแฟแล้ว มีกลุ่มลูกค้าแล้ว... ลองนำเสนออะไรแปลกๆ ดูมั่งครับ
 

   สุดท้ายแล้วครับ ผมขี้เกียจพิมพ์แล้ว.. ก็ฝากไว้เป็นข้อคิดกับเพื่อนๆ น้องๆ ทั้งที่มีร้านกาแฟแล้ว และอยากที่จะทำร้านกาแฟครับ.... ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ต้องเรียนรู้และใช้ความพยายามนะครับ เราต้องช่วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นช่วยนะครับ และในเว็บร้อยตะวัน ก็มีข้อมูลมีความรู้ที่พอที่จะเป็นแนวทางให้ แต่ต้องค้นหาด้วยตัวเองก่อนนะครับ ที่สำคัญคือ คิดให้หนังแน่น และคิดให้รอบครอบนะครับ ถ้ามีเงิน 5 หมื่น ผมเลือกที่จะขายลูกชิ้นปิ้งตามชุมชนมากกว่าที่จะเลือกเปิดร้านเปิดร้านกาแฟแล้วกัดก้อนเกลือกินนะครับ